LGBTQI+ Mental Health
“เพราะพื้นที่ปลอดภัยไม่ใช่พื้นที่แห่งความสุข 100% แต่เป็นพื้นที่ที่โอบรับทุกความรู้สึก”
สุขภาพจิตของ LGBTQI (LGBTQI Mental Health) ที่อยากเห็นสังคมแห่งการยอมรับตัวตน
พื้นที่ปลอดภัยสำหรับชุมชน LGBTQI+ หน้าตาเป็นอย่างไร
ในช่วงต้นของการเสวนา คุณเขื่อน ภัทรดนัยได้เล่าถึงผลการศึกษาที่บ่งบอกว่า ในหลายพื้นที่ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศมีความคิดเรื่องฆ่าตัวตายมากกว่า ชาย หญิง เพราะเรายังขาดพื้นที่ในการถูกยอมรับทั้งทางกฎหมายและตัวตน ขาดพื้นที่ในการรับฟัง หรือบอกได้ว่า ชุมชน LGBTQAI+ ขาดพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งพื้นที่ปลอดภัยสำหรับคุณเขื่อนนั้น จะมีหน้าตาจะเป็นอย่างไรก็ได้ ตราบใดที่สามารถสำรวจความรู้สึกไปด้วยกันได้ เราเกลียดกันได้โดยที่ไม่ต้องแตกแยก เราสำรวจความคิด ความรู้สึกเรื่อง Sex ได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด รู้สึกอับอาย เพราะสังคม LGBTQAI+ เราถูกมองว่ามาพร้อมเรื่องของความอับอาย เราสำรวจเพื่อให้หาทางไปต่อได้ โดยไม่ต้องรู้สึกแบบนี้ ได้เป็นตัวเอง และต้อนรับทุกอารมณ์ได้ อยู่แล้วอยู่กับปัจจุบันได้มากที่สุด
“เราชอบคิดว่าชีวิตที่ดีคือชีวิตที่มีความสุข พื้นที่ปลอดภัยไม่ใช่ความสุข100 เปอเซ็นต์ แต่เป็นการเข้าใจตัวเองเมื่อเราทุกข์ โกรธ เราจะอยู่กับอารมณ์เหล่านี้ได้อย่างไร ไม่ใช่การกำจัดความรู้สึกเหล่านี้ออกไป แต่เป็นการเข้าใจว่าเรากับอารมณ์ต่างๆ สัมพันธ์กันอย่างไร” เขื่อน ภัทรดนัย
ด้านคุณจิ๊บ ณภัค ที่กล่าวถึงสังคมยุคปัจจุบันว่า โซเชียลเน็ตเวิร์คเป็นเสมือนปัจจัยที่ 5 ที่พ่วงมากับการต้องการถูกยอมรับเพื่อให้รู้สึกมีคุณค่า เมื่อไม่ได้รับการยอมรับในตัวตนก็ทำให้เกิดการ Suffer ก็จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต พื้นที่ปลอดภัยสำหรับคุณจิ๊บจึงเป็นพื้นที่ที่เราสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกังวลการโดนตัดสิน
พ่อแม่ยุคใหม่ ทำอย่างไรให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับลูก
ในการสร้างพื้นที่ปลอดภัย ครอบครัวคือหน่วยแรกเริ่มสำคัญที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ หมอโอ๋ ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทยศาสตรวัยรุ่น นำเสนอวิธีที่ทำให้ลูกเห็นพ่อแม่เป็นพื้นที่ปลอดภัย กล้าที่จะสื่อสาร และเปิดเผยตัวตนไว้อย่างน่าสนใจ ว่า เด็กๆ หรือว่าเราทุกคนเติบโตมาเหมือนฟองน้ำ ซึมซับสิ่งรอบตัวตลอดเวลา ถ้าพ่อแม่อยากทำให้ลูกเชื่อว่าตัวเองเป็นพื้นที่ปลอดภัย ก็ต้องทำตัวเองให้เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะเด็กๆ ซึมซับผ่านการกระทำของพ่อแม่ตลอดเวลา เขาจะสังเกตเวลาพ่อแม่ดูละคร อย่างดูซีรีส์วาย ดูข่าว พ่อแม่มีปฏิกิริยา สายตาท่าทีเป็นอย่างอย่างไร ดังนั้นพ่อแม่ต้องคุยกับตัวเองก่อน ว่าเราคิดอย่างไรกับสิ่งเหล่านี้ ตั้งคำถามไปถึงความเชื่อเดิมที่มี เช่น จริงไหมที่เพศหลากหลายไม่มีความสุขในชีวิต จากนั้นให้ฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง
“จะเป็นอะไรก็ได้ขอแค่เป็นคนดีก็พอ” อีกหนึ่งประโยคคลาสสิคที่พ่อแม่มักพูดกับลูก คุณเขื่อนเล่าว่า เป็นประโยคที่ค่อนข้างกดดัน เป็นเหมือนยาพิษที่เคลือบน้ำตาล เพราะมันแฝงคำถามว่าคนดีในบรรทัดฐานของคนอื่นเป็นอย่างไร ต้องเก่ง ต้องขยัน ถึงได้รับการยอมรับว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ดังนั้นประโยคที่เราฟังแล้วคุ้นชิน บางทีเราอาจพูดไปโดยไม่รู้เลยว่านี่คือเงื่อนไขที่กดทับใครสักคนอยู่ ด้วยคำว่าหวังดี
“เพราะมนุษย์ไม่ได้มีอย่างใดอย่างหนึ่ง มีดี-ไม่ดี มีเก่ง-ไม่เก่ง การยอมรับที่ต้องแลกมากับความภูมิใจของพ่อแม่จะกลายเป็นสิ่งกดทับ แค่จะเป็นตัวเองเฉยๆไม่ได้ แต่ต้องเป็นซุปเปอร์มนุษย์ พ่อแม่ไม่ได้รักลูกที่เขาเป็นเพศอะไร รักตั้งแต่อยู่ในท้อง ตั้งแต่ยังไม่รู้ว่าเป็นเพศอะไร แต่วันนี้เราหลงลืม อยากให้กลับมาคอนเนคกับความรักอีกครั้ง” คือถ้อยคำส่งท้ายที่หมอโอ๋ฝากให้พ่อแม่ทุกคนในประเด็นนี้
ยอมรับและให้คุณค่าตัวเอง ในวันที่สังคมไม่ยอมรับ
การยอมรับตัวเอง ท่ามกลางสังคมที่ยังไม่โอบรับเพศหลากหลายมากพอ เป็นโจทย์สำคัญของใจที่คนในชุมชน LGBTQ ต้องเผชิญ หมอโอ๋ พูดถึงการยอมรับตัวเองว่า “การยอมรับตัวเองฟังเหมือนจะง่าย แต่การเติบโตของคนๆ หนึ่งต้องอาศัยสายสัมพันธ์อันมั่นคง หนึ่งในนั้นคือพ่อแม่ มนุษย์ไม่ได้มีความสุขจากภาพมายาคติ เรียนจบ แต่งงาน มีลูก สิ่งนี้เป็นมายาคติมากๆ เรามีความสุขได้เท่าที่เราตัดสินใจจะมี และความสุขหนึ่งที่มนุษย์จะมีได้คือการเป็นตัวเอง และได้รับการยอมรับจากคนที่เขารัก เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้เขาได้เป็นตัวเอง ทำให้เขารู้ว่าไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร จะมีคนที่รักเขาอยู่เสมอ และพ่อแม่จะทำสิ่งนั้นได้ต้องมาจากสังคม สังคมต้องเปิดกว้าง ยอมรับ การเติบโตของพวกเราทุกคนคือการแสดงตัวตนของเราทุกคน การยอมรับคนเหล่านี้ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เรากำลังช่วยคนในสังคมจำนวนมาก ได้เป็นตัวเองและพ่อแม่ที่จะรู้ว่าเขาจะเติบโตมาในสังคมที่ปลอดภัย”
เช่นเดียวกับที่คุณเขื่อนมองว่าการยอมรับตัวเอง นั้นไม่ได้ทำสำเร็จในวันสองวัน “การรู้จักตัวเองทุกวันนี้มันเป็นเหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีหนังสือ How to มากมาย ทำได้ใน 7 วัน 10 วัน แต่จริงๆมันใช้เวลานานมาก และใช้เวลาแตกต่างกัน อย่ากดดันตัวเองซ้อนทับลงไป เพราะเส้นทางการเดินทางของแต่ละคนแตกต่างกัน”
ในมุมมองของการยอมรับจากสังคมนั้น คุณเขื่อนกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าเขาพูดแล้วเราต้องยอมรับในสิ่งนั้น ไม่ถูกยอมรับไม่ได้แปลว่าเราต้องจำยอมกับการไม่ถูกยอมรับ การเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา ดีลกับสังคมยังไม่ได้ก็ให้ดีลกับตัวเอง ในโมเมนต์นั้นให้ดีลกับตัวเองได้ทีละนิด เราตระหนักรู้ได้ว่าเรารู้สึกอย่างไร แล้วนำมาเข้าใจตัวเอง เช่น มีคนบอกว่าเรา สาว เราไม่ชอบถ้ารู้สึกก็คือรู้สึก แล้วพยายามเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคำนี้ เมื่อเราเข้าใจ เราจะวางมันได้ แต่ก็อย่าปล่อยว่าเราต้องยอมรับ เราต้องลุกขึ้นมายืนหยัดกับสิ่งที่เราเป็น”
ปิดท้ายด้วยถ้อยคำดีๆ ที่คุณเขื่อนกล่าวไว้ในงานว่า Hurt people Hurt people คนที่มีบาดแผลก็มักจะทำร้ายคนอื่นต่อ เพราะเข้าใจว่านั่นคือการส่งความรัก ดังนั้นหากสังคมเป็นพื้นที่ปลอดภัย สังคมแห่งความเข้าใจ เราทุกคนจะถูกยอมรับในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เมื่อทุกคนได้รับการยอมรับในตัวตน ก็จะไม่มีใครต้องเจ็บปวดทางใจและส่งต่อความรัก ความปรารถนาดีไปในสังคมอย่างถูกวิธี