Urban Mental Health
เมืองใหญ่ สุขภาพใจจึงสำคัญ คุยเรื่องสุขภาพจิตของคนกรุง (Urban Mental Health) เพื่อสร้างกรุงเทพที่ดีกว่าเดิม
‘ความห่าง’ ช่องว่างทางใจของคนเมือง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเศรษฐกิจ โอกาสและตลาดงานคือหัวใจของความเป็นเมืองที่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาอยู่อาศัย ในช่วงต้นของเวทีเสวนา คุณศานนท์ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของคนในเมืองว่า เมืองที่คนอยู่มาก ก็มีความซับซ้อนมาก แต่ความสัมพันธ์ของคนก็เปลี่ยนตามไปด้วย จากที่เคยอยู่เป็นชุมชน มีผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้คนมีเวลาให้ครอบครัว ก็จางหายไป “คนไม่ปฏิสัมพันธ์กัน” คือปัจจัยหลักที่ทำให้คนรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง มากขึ้น และนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งไม่ต่างจากเมืองอื่นๆ ทั่วโลก เพราะฉะนั้นกรุงเทพ จะต้องสร้างชีวิตระหว่างตึก (Life Between Building) คือทำพื้นที่ให้เกิดกิจกรรมสร้างสรรค์ เพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์มากขึ้น เพื่อให้คนกลับมามีความสัมพันธ์เหมือนเดิม ดร.นพ.วรตม์ หรือหมอเนท ก็ได้เพิ่มเติมในประเด็นนี้ว่า ความเครียดของความเป็นเมืองนั้นสูงมาก ไม่ว่าจะมีโรงพยาบาล มีคลินิกหรือทรัพยากรเท่าไรก็ไม่เพียงพอรองรับ
เสียงอึกทึกครึกโครม มลภาวะ จอบิลบอร์ด คือสิ่งกระตุ้นเราในทุกๆ วัน ในขณะเดียวกันพื้นที่สงบ ก็เข้าถึงยาก ทำให้เราเคยชินกับแสง สีเสียง สิ่งกระตุ้นเหล่านี้ คือเสียงสะท้อนจากคุณอมรเทพ ในประเด็นนี้ “การอยู่ในเมืองที่มีความหลากหลายและเหลื่อมล้ำสูง ทำให้เราเปรียบเทียบมากขึ้น เราไม่สามารถอยู่โดยปราศจากสิ่งกระตุ้นเหล่านี้ได้อีกแล้ว” คุณอมรเทพกล่าว
เจ็บป่วยทางใจ ไม่ใช่แค่เรื่อง ‘ส่วนตัว’
พื้นที่ปลอดภัยเป็นเหมือนกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต ตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน ถึงสังคมเมือง คุณศานนท์สะท้อนในประเด็นทำอย่างไรให้คนเมืองมีพื้นที่ปลอดภัยว่า “ปัญหาสุขภาพจิต เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เราก็เป็นหนึ่งในสังคมนั้น เวลามีคนป่วย เราเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ป่วย ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่การเพิ่มโรงพยาบาล แต่ต้องเริ่มไปที่การศึกษา ทำอย่างไรให้คนมี Empathy ต่อกันมากขึ้น ฟังอย่างลึกซึ้งมากขึ้น มีพื้นที่แล้ว จะทำอย่างไรที่ให้คนรู้สึกปลอดภัย จัดกิจกรรอย่างไร อย่างเด็กบางคนครอบครัวไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย มีความรุนแรงในบ้าน เรามีห้องสมุด มีกิจกรรมเสาร์ อาทิตย์ มีสิ่งแวดล้อมที่จะส่งเสริมไม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต” เช่นเดียวกับที่คุณอมรเทพก็เชื่อว่า ปัญหาสุขภาพจิตนั้น ไม่ใช่เรื่องของปัจเจก เพราะปัญหาสุขภาพจิตมีปัจจัยสามด้าน คือ ชีววิทยา จิตวิทยา และสังคม ซึ่งอาจทับซ้อนกันได้อีก อย่าง ผู้พิการเมื่ออยู่ในสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันก็นำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต เป็นต้น
นอกจากพื้นที่ปลอดภัยเชิงกายภาพ อย่างสวนสาธารณะ โรงเรียน ห้องสมุด ที่สามารถจัดสิ่งแวดล้อมให้เกิดพื้นที่ปลอดภัยได้ พื้นที่เชิงจิตใจก็สำคัญไม่แพ้กัน คุณหมอเนตยกตัวอย่าง New York ที่มีกลุ่มคนรวมตัวกันเพื่อบำบัดเยียวยากันและกัน ถ้ามีพื้นที่ทางจิตใจที่คนได้เชื่อมโยงกันก็จะรู้สึกมีส่วนร่วมกับชุมชน
ปัญหาทางใจ ไม่ใช่ตราบาป
ปิดท้ายวงเสวนาด้วยประเด็นการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย เพื่อทำให้ปัญหาสุขภาพจิตของคนเมืองนั้นถูกแก้ไขอย่างแท้จริง คุณอมรเทพ อยากให้เริ่มที่การมองว่า สุขภาพจิตนั้นเป็นเรื่องธรรมดา สามารถพูดถึงได้ การมีปัญหาสุขภาพจิตไม่ได้เป็นตราบาป แล้วร่วมกันรับฟัง ไม่ตัดสิน แล้วสร้างบทสนทนา มีพื้นที่ให้ทุกคนได้แสดงความเห็น และรู้ว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ปลอดภัย ด้านการทำงานของกรุงเทพมหานคร คุณศานนท์ ได้เล่าถึงการทำงานของกรุงเทพว่า ได้มุ่งเน้นไปที่การป้องกันก่อนเกิดปัญหาสุขภาพจิต เริ่มตั้งแต่โรงเรียน “เราต้องทำโรงเรียนให้ปลอดภัย เด็กไม่ต้องแข่งขันกันเรียนจนเกินไป จนรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย”จึงมีการนำนวัตกรรมการศึกษามาใช้เพื่อลดการแข่งขันและส่งเสริมการค้นหาความถนัดเฉพาะบุคคล และพื้นที่ที่ให้ค้นหาตัวตน ซึ่งปัจจุบันกรุงเทพมี ห้องสมุด 34 แห่ง บ้านหนังสือ 140 หลัง ลานกีฬา 1000 แห่ง
และสุดท้ายนี้ทุกปัญหาสุขภาพจิต เราจับมือก้าวผ่านกันได้หากเรามองว่า เราทุกคนคือมนุษย์คนหนึ่งและเราต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต